การค้าขายของไทยหรือ การชะลอตัวของ GDP มีผลกระทบหนักมากในปี 2019 จากภาวะโควิด -19
การประเมินทางด้านเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่สาม หรือเดือนกรฎาคม – กันยายน เมื่อปี 2563 จะแสดงให้เห็นถึงการปื้นตัวจากภาวะโควิด -19 ขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เกิดผลกระทบตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงช่วงเดือนมิถุนายนเลยทีเดียว เป็นผลให้โรงเรียนต้องเปิดเรียนล่าช้าออกไปอีกหนึ่งเดือน และช่วงเดือนกรกฎาคม-ถึงเดือนพฤศจิกายน นี้ทำให้การค้าขายในทุกระดับมีการฟื้นฟูหรือเติบโตกลับมาเหมือนเดิม การชะลอตัวของ GDP ลดลงเหลือ 6.4% เมื่อเทียบเป็นรายปีลดลงจาก 12% ในไตรมาสที่สอง และมีสัญญาณการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมหลักเช่น อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภาคยานยนต์และพลาสติก ซึ่งทำให้เป็นเรื่องที่น่าดีใจมาก

การชะลอตัวของ GDP เหลือ 6.4% และไทยต้องการจะเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไทยยังช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง มาเลเซีย, เวียดนามและจีนโดยเฉพาะในด้านผลผลิตอุตสาหกรรมและบริการ เหตุเพราะความไม่พอเพียงของนโยบายของไทยในระหว่างการกเกิดภาวะ covid-19 โดยเฉพาะแผนการด้านภาษี และการกู้เงินพิเศษเพื่อช่วยเหลือบริษัท ที่ยังเกิดจุดอ่อนแพราะว่ายังเกิดข้อบกพร่องในการดูและกระแสเงินสดและการลดต้นทุนการผลิต

ไทยต้องการจะเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ โดยจัดมาตรการควบคุมโควิด -19 แต่ว่าก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการคุยคุมแรงงาน โดยมุ่งเน้นไปที่การรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมโดยตรง เช่นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก COVID-19 ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเลยมาตรการภาษีที่มีไว้เพื่อสนับสนุน บริษัท ต่างๆส่วนใหญ่ จำกัด โดยเฉพาะหยุดการเก็บภาษี หรือลดภาษีลง เช่นเดียวกับประทเศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย,จีน, เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเสนอการลดภาษี เกาหลีใต้อนุญาตให้เลื่อนการชำระภาษีเป็นเวลา 9 เดือน ส่วนที่ญี่ปุ่นมีมาตรการลดภาษีมากกว่า 1 ปี
แต่ว่าในใตรมาสที่สาม ภาวะทางเศรษฐกิจของไทยก็มีการฟื้นตัวกันขึ้นมาหลังจากการเกิดภาวะ covid-19 การหดตัวลงของ GDP เหลือ 6.4% และหากว่าจะเทียบเป็นรายปีก็คือลดลงมากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สอง แต่ว่าสัญญาณการฟื้นตัวก็มาจากพลาสสติก

สิงคโปร์, มาเลเซียและเวียดนามต่างให้การอุดหนุนค่าจ้างแก่รัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อช่วยดูแล พนักงาน ไม่ให้เกิดภาวะความอดอยาก
นโยบายของประเทศไทยจำกัด อยู่ที่การลดอัตราเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (SSF) จาก 5% เป็น 3% ขยายระยะเวลาการส่งแบบฟอร์มการบริจาคและจัดหาเงินพิเศษสำหรับการฝึกอบรมการจ้างงาน โดยคนที่ทำงานก็ต้องมีการลดหย่อนเกี่ยวกับสิทธิประกันสังคมได้อย่างสบายๆ
โดยต้องอาศัยเงินจากภาครัฐบาลช่วยเหลือ อย่างเช่นการกู้ยืมเงินจากธนาคารกลาง และมีการกู้ยืมเงินแบบซอฟต์โลน 500,000 ล้านบาท และมาจากงบประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท โดยมีการระดมทุนจากหลายภาคส่วน
หากคุณไม่อยากพลาดข่าวธุรกิจใหม่ ๆ อย่าลืมกดติดตาม ข่าวธุกิจบัญชี และการลงทุนที่น่าติดตาม วิกฤตเศรษฐกิจโควิด ที่ส่งผลต่อปัญหาทางการเงินมากมาย และต้องปรับตัวเท่านั้นธุรกิจถึงจะอยู่รอด
ถ้าหากเครียดหรือกังวลจากการลงทุนและหุ้น ยังยังมีการลุงทุนใหม่ ๆ โจ๊กเกอร์888 มาแนะนำ